
M7-D-B Decider
First appearance Steel Battalion
Designer Okubo Junji
Height 20.56 m
Armaments
- plasma torch
- 67 mm chain gun
- 120 mm machine gun
- 140 mm machine gun
- 315 mm smooth bore cannon
- 315 mm twin rifle
VTที่บริษัทโคมัตสุแลนด์ซิสเต็มพัฒนาให้กองกำลังแปซิฟิกริมตามความต้องการ VTที่มีสมรรถนะสมดุลในทุกด้านเพื่อให้สามารถใช้งานแบบเอนกประสงค์ได้ดี ดีไซเดอร์นั้นนอกจากจะมีทั้งความเร็ว สมดุลเครื่อง และเกราะป้องกันในระดับดีตามที่ต้องการแล้วยังเป็น VTรุ่นแรกที่ติดตั้งคบพลาสมาทอชเป็นอาวุธระยะประชิดตัว ดีไซเดอร์ยังสามารถเลือกใช้อาวุธที่รุนแรงอย่างไรเฟิลแฝด 315 มม.ได้ ในการรบทั่วๆไปแบบซึ่งหน้านั้นดีไซเดอร์นับได้ว่าเป็น VTรุ่นที่หนึ่งซึ่งแข็งแกร่งที่สุด ซึ่งความสำร็จของดีไซเดอร์ทำให้กองกำลังแปซิฟิกริมใช้เป็นกำลังหลักและทำสัญญาให้โคมัตสุพัฒนา VTแบบยิงสนับสนุนโดยไม่สนใจบริษัทคู่แข่ง แต่พื้นฐานของบริษัทโคมัตสุซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ก่อสร้างก่อนเข้าวงการ VTนั้นทำให้ไม่เชี่ยวชาญด้านการออกแบบอาวุธระยะไกล โคมัตสุได้ใช้วิธีดัดแปลงโครงสร้างเดิมของดีไซเดอร์ เป็น M7-D-VL1 ดีไซเดอร์วอลแคนิค โดยได้ถอดเกราะหลายๆจุดออกเพื่อปรับโครงสร้างให้เหมาะกับการติดตั้งอาวุธปืนฮาววิตเซอร์ แต่ดีไซเดอร์วอลแคนิคก็นับเป็นเครื่องที่ศูนย์ถ่วงแย่มาก นอกจากนั้นยังมีกำลังเครื่องต่ำทำให้เร่งเครื่องหรือเดินขึ้นเนินได้ลำบาก ปืนฮาววิตเซอร์ที่ใช้ยังมีอานุภาพไม่สูงนักอีกด้วย
บริษัทโคมัตสุได้พัฒนารูปแบบของดีไซเดอร์ไปเป็น VTรุ่นที่สองซึ่งมีคุณสมบัติ override ที่เร่งสมรรถนะของเครื่องจนเกินขีดปลอดภัยของระบบได้เป็นการชั่วคราว และ FSS (Forecast Shooting System) ซึ่งช่วยคำนวณการเคลื่อนไหวของเป้าหมายและช่วยเล็งอาวุธแบบอัตโนมัติจึงใช้มิสไซล์นำวิถีได้ ในตอนแรกนั้นโคมัตสุยังตั้งใจให้สามารถใช้เรลกันเป็นอาวุธได้ แต่หลังจากที่การพัฒนาล่าช้าเพราะปัญหาด้านระบบจ่ายพลังงานจึงได้ผลตรุ่นแรกออกมาเป็น M8-E-B-M1 โปรมิเนนซ์ M1 ซึ่งมีคุณสมบัติคล้ายกับดีไซเดอร์และยังใช้เรลกันไม่ได้ออกมาก่อน มิสไซล์นำวิถีของโปรมิเนนซ์นั้นมีอานุภาพด้อยกว่าของสคาร์เฟซทูว์แต่ก็มีความเร็วสูงกว่าและรุ่น M1 นี้ยังสามารถติดตั้งพลาสมาทอชที่มีอานุภาพสูงกว่าของดีไซเดอร์ได้ เนื่องจากระบบโดยรวมนั้นนับว่าคล้ายกับดีไซเดอร์มาก โปรมิเนนซ์ M1จึงกลายเป็นกำลังหลักของกองกำลังแปซิฟิกริมไปโดยปริยาย ในเวลาต่อมาโคมัตสุถึงได้ผลิตรุ่น M2 ที่ใช้เรลกันได้โดยถอดจุดจ่ายพลังงานของพลาสมาทอชออก โปรมิเนนซ์ M2 ยังมีเกราะเสริมซึ่งทำให้มีความทนทานสูงมากและยังมีมัลติมิสไซล์พ็อดติดไว้ด้วย เมื่อรวมกับอานุภาพของเรลกันจึงทำให้โปรมิเนนซ์ M2สามารถทำหน้าที่ตั้งมั่นยิงโจมตีศัตรูได้ เนื่องจากเกราะนี้หนักมากและโปรมิเนนซ์ M2ยังมีไบน์เดอร์ขนาดใหญ่ซึ่งใช้ถ่วงสมดุลขณะยิงเรลกัน ทำให้สมรรถนะของรุ่น M2ลดลงมาจากรุ่น M1อย่างมาก แต่เกราะเสริมของรุ่น M2ก็สามารถปลดออกระหว่างการสู้รบได้ ทำให้สมรรถนะของรุ่น M2กลับมาเท่ากับรุ่น M1 จนกระทั่งเมื่อพัฒนารุ่น M3 ซึ่งนับได้ว่าเป็นรุ่นสมบูรณ์ของโปรมิเนนซ์โดยแก้ไขระบบจ่ายพลังงานให้สามารถติดตั้งเรลกันและพลาสมาทอชคู่กันได้ เกราะเสริมของรุ่น M3 ได้รับการปรับปรุงจนมีน้ำหนักเพียงหนึ่งในสามและไม่จำเป็นต้องใช้ไบน์เดอร์ถ่วงสมดุลเรลกันอีก ทำให้สมรรถนะของรุ่น M3สูงขึ้นมาก โคมัตสุยังได้ออกแบบให้โปรมิเนนซ์ M3สามารถติดตั้งปืนฮาววิตเซอร์เพื่อใช้ทำหน้าที่ยิงสนับสนุนแทนดีไซเดอร์วอลแคนิคได้ด้วย แต่เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการผลิตสูงมากจนโคมัตสุเองไม่สามารถทำการผลิตออกมามากๆอย่างรวดเร็วได้เ จึงเป็น VTสำหรับระดับผู้บัญชาการหรือนักบินที่ฝีมือดีเยี่ยมเป็นพิเศษใช้งานเท่านั้น

M8-E-B-M1 Prominence M1
First appearance Steel Battalion
Height 23 m
Armaments
- plasma torch
- 67 mm chain gun
- 80 mm chain gun
- 315 mm smooth bore cannon
- 355 mm smooth bore cannon
- 315 mm twin rifle
- 315 mm rapid rifle
- self-guided missile