ครอสโบนกันดั้ม X-3
xm-x3.jpg

XM-X3 Crossbone Gundam X-3

First appearance Mobile Suit Crossbone Gundam
Designer Hajime Katoki
Head height 15.9 m
Base weight 9.5 t Full weight 24.8 t
Armor gundarium alloy/ceramic composite
Powerplant Minovsky type ultracompact fusion reactor
Power output 5280 kW
Special feature I-field barrier generator, bio-computer, Core Block system
Armaments

  • beam saber
  • heat dagger
  • scissor anchor
  • muramasa blaster
  • vulcan gun
  • gatling gun
  • zanbuster (buster gun, beam zanber)
  • grenade
  • brand marker

ครอสโบนกันดั้มที่ SNRIส่งไปให้กลุ่มโจรสลัดครอสโบนแวนการ์ดหลังจากสองเครื่องแรก ครอสโบนกันดั้ม X-3นั้นไม่ได้ใช้อุปกรณ์ทดลองแบบสองเครื่องแรก แต่ที่แขนทั้งสองข้างติดตั้งเครื่องกำเนิดสนามพลัง Iฟิลด์บาเรียร์เอาไว้ซึ่งสามารถรับการโจมตีจากอาวุธบีมได้ดีกว่าผ้าคลุมบีมโคตและเนื่องจากแผ่ Iฟิลด์ออกมาจากฝ่ามือจึงสามารถใช้ป้องกันการโจมตีที่สนามพลัง Iฟิลด์ทั่วๆไปป้องกันไม่ได้อย่างบีมเซเบอร์ได้ด้วย แต่มีจุดอ่อนที่สามารถใช้ได้เป็นเวลาเพียง 105 วินาทีเท่านั้นก่อนจะต้องพักการใช้งานเป็นเวลาสองนาทีเต็ม อาวุธหลักของครอสโบนกันดั้ม X-3ก็คือดาบโลหะมุรามาสะบลาสเตอร์ซึ่งติดตั้งบีมเซเบอร์ไว้ข้างใน 14 เล่ม ซึ่งมุรามาสะบลาสเตอร์สามารถปล่อยบีมออกมาด้านข้างเป็นขวานขนาดใหญ่หรือจากตอนปลายเป็นบีมเซเบอร์ยาวเล่มเดียวก็ได้ รวมถึงยังสามารถใช้ยิงเป็นบีมแคนน่อนก็ได้เช่นกัน ที่หน้าอกซึ่งเป็นลายกะโหลกของ X-3ยังติดตั้งปืนแก็ตลิ่งไว้สองกระบอก ครอสโบนกันดั้ม X-3ยังคงสามารถใช้ซันบัสเตอร์กับแบรนด์มาร์คเกอร์ได้ SNRIนั้นให้เชอรินดอน โรนาห์ส่งครอสโบนกันดั้ม X-3ไปให้กลุ่มโจรสลัดด้วยยานเออสนิกซ์ แต่เชอรินดอนได้ทรยศพวกเบราให้สหพันธ์โลกทำการล้อมจับกุม ก่อนที่โทเบีย อโลแนกซ์จะขึ้นบังคับครอสโบนกันดั้ม X-3และใช้หนีไปจากยานเอออสนิกซ์และเป็น MSประจำตัวของโทเบียต่อมา

แท้จริงแล้วยังมีครอสโบนกันดั้มหมายเลขสามอีกเครื่องซึ่งประสบอุบัติเหตุระหว่างการขนส่งและหายสาปสูญไปในช่วงสงครามดาวพฤหัส จนกระทั่งโทเบียที่ปลอมตัวเป็นเคอร์ติส รอสโคได้ค้นพบเข้าในเวลา 20 ปีต่อมาและใช้เป็น MS ประจำตัว โดยเคอร์ติสได้แต่งลายกะโหลกที่หน้าอกเพิ่มให้ด้วย เนื่องจากว่าเป็นครอสโบนกันดั้มที่ไม่ควรจะมีอยู่ เคอร์ติสจึงได้ตั้งชื่อให้ว่าครอสโบนกันดั้มโกสท์ แต่ในเวลาต่อมาก็ได้รับชื่ออย่างเป็นทางการว่า XM-X0 ครอสโบนกันดั้ม X-0 ส่วนตัวเครื่องของ X-0นั้นมีจุดเด่นคือที่ลำตัวจะมีช่องระบายความร้อนขนาดใหญ่อยู่ ส่วนอาวุธรุ่นทดลองที่ใช้นั้นเป็นบัตเตอร์ฟลายบัสเตอร์ซึ่งสามารถใช้งานได้แบบซันบัสเตอร์และบีมซันเบอร์โดยปรับโหมดตามการพับด้ามจับแบบมีดพับแทน แต่แม้ว่าครอสโบนกันดั้มจะเคยเป็น MSสมรรถนะสูง ในช่วงสงครามซันสคารนั้นความก้าวหน้าของเทคโนโลยีก็ทำให้ครอสโบนกันดั้ม X-0 มีสมรรถนะในระดับเดียวกับโซโลแอทเท่านั้นและบัตเตอร์ฟลายบัสเตอร์ก็ไม่สามารถฟันผ่าบีมชิลด์ได้ เนื่องจากเคอร์ติสนั้นตาบอดจึงได้ดัดแปลงระบบของ X-0ให้แปลงข้อมูลจากเซนเซอร์ถ่ยทอดเป็นระบบเสียงรอบทิศทางในค็อกพิตทั้งหมดเพื่อให้ตนเองบังคับได้ เคอร์ติสยังได้เพิ่มอาวุธที่เรียกว่า"คุจากุ"ซึ่งสามารถปรับโหมดได้ระหว่างดาบแบบมุรามาสะบัสเตอร์และกางออกเป็นแบบพีค็อคสแมชเชอร์ได้ และต่อมาก็ได้บัตเตอร์ฟลายบัสเตอร์ B ซึ่งก็คือบัตเตอร์ฟลายบัสเตอร์ที่สร้างใหม่ด้วยเทคโนโลยีปัจจุบันให้มีกำลังมากกว่าเดิมประมาณ 12% ในภายหลังนั้นเคอร์ติสยังได้เพิ่มเกราะฟุลโคลธซึ่งดัดแปลงมาจากเกราะฟุลโคลธรุ่นต้นแบบของ SNRI เกราะฟุลโคลธของ X-0 นั้นมีผ้าคลุมบีมโคตซ้อนไว้น้อยชั้นกว่าของ X-1 แต่ก็ได้ชดเชยโดยเสริมบีมโคตแบบเดียวกับของโกสท์กันดั้มไว้บนตัว X-0โดยตรงแทน กลไกชองเกราะฟูลโคลธยังได้รับการปนับปรุงให้เคลื่อนไหวได้มากกว่าของ X-1 และสามารถพับแผ่นเกราะไปด้านหลังเหมือนปีกได้

xm-x0.jpg

XM-X0 Crossbone Gundam X-0

First appearance Mobile Suit Crossbone Gundam: Ghost
Head height 15.9 m
Base weight 9.5 t
Armor gundarium alloy/ceramic composite
Powerplant Minovsky type ultracompact fusion reactor
Power output 5280 kW
Special feature bio-computer, anti-beam coating cloak, Core Block system
Armaments

  • beam saber
  • heat dagger
  • scissor anchor
  • vulcan gun
  • butterfly buster
  • butterfly buster B
  • 'Kujaku' multipurpose attack weapon
  • brand marker
xm-x0-fc.jpg

XM-X0 Crossbone Gundam X-0 Full Cloth

Unless otherwise stated, the content of this page is licensed under Creative Commons Attribution-ShareAlike 3.0 License